ชมวีดีโอคลิปไฮไลท์ของเกม คลิ๊กที่นี่
สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ
ผู้ชมในสนาม 67,864 คน
รายการ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เวลา 23.00 น. วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2548
ผู้ตัดสิน เกรแฮม โพลล์
หลังจากผลงานอันย่ำแย่ที่แพ้ต่อมิดเดิ้ลสโบรซ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว และแพ้ให้กับลีลล์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มันคงจะเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันหากจะนึกถึงชัยชนะเหนือเชลซี แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกระดับของตัวเองและทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในความพยายาม, ความมุ่งมั่น และความเชื่อที่จะทำให้สำเร็จ และต้องขอบคุณลูกโหม่งในครึ่งแรกของดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ ที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะได้สำเร็จในเกมอันน่าจดจำที่สุดเกมหนึ่งที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
ชัยชนะ 1-0 ในนัดนี้เป็นการหยุดสถิติไม่แพ้ใคร 40 นัดของเชลซี และทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลดช่องว่างที่ตามหลังทีมของมูรินโญ่ เหลือ 10 คะแนน และยังเหลือเกมในมืออีก 1 นัด แม้ว่าคะแนนยังห่างกันพอสมควร แต่ความเชื่อมั่นและแรงผลักดันเป็นปัจจัยสำคัญในเกมฟุตบอล และหวังว่าชัยชนะครั้งนี้จะทำให้กระตุ้นปัจจัยทั้งสองขึ้นมาในทีมได้อีกมาก
เซอร์ อเล็กซ์ กล่าวก่อนเกมถึงความจำเป็นที่จะต้องเล่นอย่างกล้าหาญและอดทนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยเอาชนะ อาร์เซนอล ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อปีที่แล้ว และนั่นก็คือสิ่งที่ปิศาจแดง จะต้องแสดงออกมา และก็ทำได้อย่างนั้นจริงๆ
โอลด์ แทรฟฟอร์ด เต็มไปด้วยเสียงแห่งการคาดหวังของแฟนบอลตั้งแต่ที่เชลซี มาถึง และก็เป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ครองเกมเอาไว้ได้ตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
โรนัลโด้ ปีกซ้ายที่สร้างความปั่นป่วนให้เชลซี ได้ตลอดเวลา มีโอกาสครั้งแรกตั้งแต่ต้นเกม แต่ลูกยิง 30 หลาของเขาลอยข้ามคานออกไปไกล หลังจากนั้นปีกชาวโปรตุเกสก็มีโอกาสก่อกวนเปาโล เฟร์เรร่า แบ็คขวาของเชลซี ถึง 2 ครั้ง อาศัยลีลาลากเลื้อยหนีเพื่อนร่วมชาติ แต่โชคไม่ดีที่ในโอกาสครั้งที่ 2 ลูกโยนของเขาลึกเกินไป
หลังจากนั้นเชลซี ก็ได้โอกาสบุกขึ้นมาบ้าง แลมพาร์ด โยนบอลยาวอย่างแม่นยำไปให้ดร็อกบา ในกรอบเขตโทษ แต่ลูกชิพของเขาถูกฟาน เดอร์ ซาร์ รับเอาไว้ได้อย่างสบาย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่นกันด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมและความทุ่มเทอย่างเต็มที่ หลังจากผ่านไป 20 นาทีก็เกือบจะได้ประตูขึ้นนำ มิเกล ซิลแวสตร์ แทงบอลขึ้นมาทางฝั่งซ้ายให้เวย์น รูนี่ย์ ที่เหลือบไปเห็นสโคลส์ ว่างอยู่ตรงหน้ากรอบเขตโทษจึงไหลบอลไปให้ ในขณะที่แผงหลังของเชลซี มัวแต่ไล่ตามประกบฟาน นิสเตลรอย ที่เสาแรก สโคลส์ ซัดเต็มข้อด้วยลูกฮาล์ฟวอลเล่ย์ทันที น่าเสียดายที่บอลพุ่งเฉียดเสาออกไปเพียงนิดเดียว
ถ้าเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวังจะเห็นผลงานการเล่นที่ดีขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่น่าผิดหวังที่ทีมแพ้ให้กับ โบโร่ และลีลล์ พวกเขาก็ได้รับสิ่งที่หวังเอาไว้แล้ว ผลงานการเล่นที่แสดงถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทถือว่ายอดเยี่ยมมาก และปิศาจแดง ก็ได้ประตูขึ้นนำที่พวกเขาสมควรได้หลังจากผ่านไป 31 นาที
โรนัลโด้ โชว์ลีลาโยกหลอกก่อนจะโยนบอลลึกไปทางด้านขวาให้กับดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ ที่อยู่ทางเสาไกล กองกลางชาวสก็อตโหม่งบอลย้อยย้อนกลับไป บอลลอยโด่งข้ามหัวปีเตอร์ เช็ค และจอห์น เทอร์รี่ มุดเสียบหน้าต่างเข้าประตูไปอย่างไม่น่าเชื่อ มันอาจจะไม่ใช่ประตูที่สวยงาม บางคนอาจจะมองว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำประตู แต่เฟล็ตเชอร์ ก็ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกนำไปแล้ว 1-0
เฟล็ตเชอร์ ถูกคาดหวังเอาไว้สูงทั้งๆ ที่อายุเพียง 21 ปี ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางโดยขาดประสบการณ์และความช่วยเหลือจาก รอย คีน มันเป็นฤดูกาลที่หนักหนาสาหัสของดาวรุ่งรายนี้ แต่ประตูนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่เขาต้องการเพื่อให้ศักยภาพของเขาได้แสดงออกมาอย่างแท้จริง
อันตรายจากเชลซี ยังคงมีมาเรื่อยๆ โดยมีดร็อกบา เป็นตัวคอยก่อกวน ความเร็วของเขาทำให้ โจ โคล และแฟร้งค์ แลมพาร์ด สามารถแทงบอลทะลุแผงหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าไปได้ แต่ซิลแวสตร์ และเฟอร์ดินานด์ ยังตื่นตัวและสามารถจัดการเอาไว้ได้หมดตลอดช่วงเวลา 45 นาทีในครึ่งแรกที่น่าพอใจสำหรับปิศาจแดง
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ก็คือการไม่สามารถจัดการคู่แข่งเวลาลงเล่นในบ้านได้ ทีมของเซอร์ อเล็กซ์ น่าจะและควรจะทำประตูนำห่างออกไปหลังจากเริ่มครึ่งหลังไป 9 นาทีจากการเล่นอันยอดเยี่ยมที่เริ่มต้นโดย รูนี่ย์ ที่บริเวณกรอบเขตโทษ ดาวยิงวัย 20 ปีชิพบอลข้ามหัว เดล ฮอร์โน่ ไปให้กับ เฟล็ตเชอร์ ทางด้านขวา ก่อนที่ เฟล็ตเชอร์ จะเปิดบอลจังหวะเดียวเข้าไปในกรอบเขตโทษให้กับ ฟาน นิสเตลรอย แต่ดาวยิงดัตช์แมนงัดใต้บอลมากไปทำให้ลูกยิงระยะ 10 หลาของเขาลอยข้ามคานออกไปไกล
เชลซี สร้างความกดดันมากขึ้นและมีโอกาสเปิดเกมรุกเป็นชุดใหญ่ๆ เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง โอกาสแรก ดาเมี่ยน ดัฟฟ์ พลาดลูกโยนของ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน เอสเซียง ตั้งแต่นาทีที่ 55 หลังจากนั้น ดร็อกบา ได้ยิงแต่ไปติดบล็อกของโอเชีย กองหน้าของเชลซี ซึ่งยังล้มอยู่บนพื้นพยายามจิ้มบอลให้เข้าประตู แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ โอเชีย เข้าไปขวางทัน แล้วบอลก็ค่อยๆ ไหลออกข้างไปอย่างมีลุ้น
แล้วก็มาถึงช่วงลดแลกแจกแถมใบเหลืองจากเกรแฮม โพลล์ โดยดร็อกบา, เฟร์เรร่า, สมิธ, โรนัลโด้ และเฟล็ตเชอร์ ได้รับไปคนละ 1 ใบเหลือง ในขณะที่เชลซี พยายามทำประตูตีเสมอให้ได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตั้งรับกันอย่างเหนียวแน่น กลายเป็นสงครามเล็กๆ ในเกมนัดนี้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งรับอย่างกล้าหาญ เฟล็ตเชอร์ และริโอ ช่วยกันพุ่งตัวขวางลูกยิงของ เชลซี และสกัดลูกเตะมุม ส่วนโรนัลโด้ เป็นตัวก่อกวนคอยกระชากบอลเข้าฝั่งของ เชลซี ในขณะที่รูนี่ย์ และสมิธ วิ่งไล่บอลทุกจังหวะและเข้าสกัดทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้
การนำอยู่ 1-0 ยิ่งน่าหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อการตัดสินที่เข้มงวดจนเกินไปของเกรแฮม โพลล์ เป็นการต่อต้านผลงานการเล่นของทีม ผลกระทบได้แสดงออกมาให้เห็นจากแฟนบอลเจ้าบ้าน บรรยากาศในครึ่งหลังมีเสียงโวยวายดังอื้ออึงไปทั่วอย่างที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในช่วงหลังที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
เชลซี มีการเปลี่ยนตัวอีก 2 คน ไรท์ ฟิลลิปส์ ลงมาแทนโจ โคล ในนาทีที่ 74 และคาร์ลตัน โคล ลงมาแทนเดล ฮอร์โน่ ในนาทีที่ 78
รูนี่ย์ เกือบจะทำประตูตอกย้ำชัยชนะให้กับทีมได้ต่อหน้าแฟนบอลในอัฒจันทร์ฝั่งสเตรทฟอร์ด เอนด์ ในนาทีที่ 83 โดยปาร์ค จีซุง ตัวสำรองของปิศาจแดง ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน ฟาน นิสเตลรอย ในนาทีที่ 82 เข้าปะทะแย่งบอลกับ เฟร์เรร่า และเทอร์รี่ บอลลอยไปเข้าทางของ รูนี่ย์ ที่ตั้งใจเล็งจะยิงเข้ามุมล่างขวา แต่ เฟร์เรร่า ยังพุ่งเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทัน
เข้าสู่ช่วงท้ายเกม เชลซี เดินหน้าบุกแหลก ในขณะที่แฟนบอลปิศาจแดง เริ่มยืนลุ้นไปกัดเล็บไป ทุกครั้งที่มีลูกยิงออกนอกกรอบ, ลูกฟรีคิกที่ผิดพลาด หรือการยกธงล้ำหน้าของผู้ช่วยผู้ตัดสิน จะมีเสียงเชียร์แสดงความพอใจดังขึ้นมาจากแฟนบอลปิศาจแดง
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 4 นาทีไม่เป็นที่สบอารมณ์เท่าไรนัก แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้านทานเอาไว้ได้ จบเกมเอาชนะ เชลซี ไปได้ 1-0 เก็บ 3 คะแนนเต็มได้สำเร็จ พร้อมกับขยับขึ้นสู่อันดับที่ 3 ของตาราง และถือเป็นการฉลองการคุมทีมครบ 19 ปีของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่สมบูรณ์แบบที่สุด (บรรยายเกมโดย DaKinG)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 19
เวส บราวน์ 6
ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
จอห์น โอเชีย 22
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24 ( น. 31) ( น. 67)
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7 ( น. 65)
พอล สโคลส์ 18
เวย์น รูนี่ย์ 8
อลัน สมิธ 14 ( น. 63)
รุด ฟาน นิสเตลรอย 10
สำรอง
ทิม โฮเวิร์ด 1
ฟิลลิป บาร์ดสลี่ย์ 26
คีแรน ริชาร์ดสัน 23
ปาร์ค จีซุง 13 น. 82 รุด ฟาน นิสเตลรอย 10
จูเซ็ปเป้ รอสซี่ 42
เชลซี
ปีเตอร์ เช็ค 1
อาเซียร์ เดล ฮอร์โน่ 3
วิลเลียม กัลลาส 13 ( น. 79)
เรนาโต้ เปาโล เฟร์เรร่า 20 ( น. 66)
จอห์น เทอร์รี่ 26
โจ โคล 10
ดาเมี่ยน ดัฟฟ์ 11
มิเชล เอสเซียง 5
แฟร้งค์ แลมพาร์ด 8
โคล้ด มาเกเลเล่ 4 ( น. 90)
ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 15 ( น. 60)
สำรอง
คาร์โล คูดิชินี่ 23
ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ 6
ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ 24 น. 74 โจ โคล 10
คาร์ลตัน โคล 12 น. 78 อาเซียร์ เดล ฮอร์โน่ 3
ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น 22 น. 55 มิเชล เอสเซียง 5
สถิติของเกม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประตู 1, ลูกยิงตรงกรอบ 1, ลูกยิงหลุดกรอบ 5, ลูกยิงโดนบล็อค 3, เตะมุม 5, ฟาวล์ 20, ล้ำหน้า 2, ใบเหลือง 3, การครองบอล 46.2 %
เชลซี ลูกยิงตรงกรอบ 3, ลูกยิงหลุดกรอบ 12, ลูกยิงโดนบล็อค 11, เตะมุม 9, ฟาวล์ 14, ล้ำหน้า 3, ใบเหลือง 4, การครองบอล 53.8 %
คะแนนความสามารถ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 8, จอห์น โอเชีย 7, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 8, เวส บราวน์ 7, มิเกล ซิลแวสตร์ 7, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 7, พอล สโคลส์ 6, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7, อลัน สมิธ 9, เวย์น รูนี่ย์ 7, รุด ฟาน นิสเตลรอย 6, ปาร์ค จีซุง (สำรอง) 6
เชลซี ปีเตอร์ เช็ค 7, เปาโล เฟร์เรร่า 7, วิลเลียม กัลลาส 7, จอห์น เทอร์รี่ 7, อาเซียร์ เดล ฮอร์โน่ 7, มิเชล เอสเซียง 6, โคล้ด มาเกเลเล่ 7, แฟร้งค์ แลมพาร์ด , โจ โคล 6, ดาเมี่ยน ดัฟฟ์ 6, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 7, ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ (สำรอง) 6, คาร์ลตัน โคล (สำรอง) 6, ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น (สำรอง) 7
แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อลัน สมิธ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
Por